ตามที่ คณาจารย์มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒได้ทำเรื่องร้องเรียนผู้บริหารระดับสูงมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒกับพวก ทุจริต ละเว้น เอื้ออำนวยและยอมให้ผู้อื่นหาผลประโยชน์ ถึงสำนักงานคณะกรรมการ ป.ป.ช. โดยคณาจารย์ได้ทำเรื่องติดตามผลการสอบสวนดังกล่าว จนถึงปัจจุบันรวมระยะเวลา 1 ปี 7 เดือนแล้ว ยังไม่มีความคืบหน้าใด ๆ ทั้งที่คณะกรรมการไต่สวน ของ ป.ป.ช. ได้สรุปข้อกล่าวหาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว คณาจารย์มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ จึงร้องขอความเป็นธรรมขอให้ช่วยเร่งติดตามความคืบหน้าผลการสอบสวนกรณีการทุจริตการจัดซื้อจัดจ้างรายการทดสอบทางห้องปฏิบัติการทางพยาธิวิทยา ตามเรื่องที่คณาจารย์มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒร้องเรียน อีกทั้งยังมีเรื่องที่ทางสำนักงานคณะกรรมการ ป.ป.ช. อยู่ในชั้นของคณะกรรมการไต่สวน เรื่องกล่าวหาเจ้าหน้าที่ของรัฐ สังกัดมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฆว่ากระทำความผิดทุจริตต่อหน้าที่ หรือกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ กรณีรับเด็กจำนวน 3 ราย เข้าเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ของโรงเรียนสาธิต มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ปทุมวัน ปีการศึกษา 2562 ทั้งที่เด็กทั้ง 3 ราย ไม่ปรากฎรายชื่อเป็นผู้ทดสอบได้ตามเกณฑ์และมีสิทธิเข้าสอบสัมภาษณ์เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 (หลักสูตรปกติ) และ โครงการ EPTS ปีการศึกษา 2562 หรือมีรายชื่อสำรองในหลักสูตรดังกล่าว ดังนั้น คณาจารย์มหาวิทยาลัย จึงขอความอนุเคราะห์ให้ช่วยเร่งติดตามความคืบหน้าผลการสอบดังกล่าว ด้วยเหตุผลดังนี้
1. หากผลการสอบล่าช้าจะส่งผลให้เกิดความเสียหายต่อมหาวิทยาลัย และประเทศชาติเป็นอย่างมาก เพราะกลุ่มผู้บริหารมหาวิทยาลัยชุดปัจจุบัน จะยังคงมีอำนาจที่จะดำเนินการทุจริต เอื้อประโยชน์ให้กับพวกพ้อง แสวงหาผลประโยชน์อย่างต่อเนื่องโดยไม่เกรงกลัวกฎหมาย รวมทั้งวางรากฐานมีการถ่ายโอนอำนาจให้กับพวกพ้องที่เป็นพวกของตนเอง
2. ขณะนี้กลุ่มผู้กระทำความผิดดังกล่าว ได้มีการสร้างหลักฐานเพื่อให้เกิดความชอบธรรมกับตนเองและพวกพ้อง และเป็นเหตุให้กระบวนการพิจารณาของ ป.ป.ช. เกิดความล่าช้า เพื่อประวิงเวลาไปเรื่อย ๆ พร้อมทั้งได้ใช้อำนาจหน้าที่ด้านการปกครองในการกลั่นแกล้งและข่มขู่บุคลากรที่เห็นต่าง
3. เกิดการสูญเสียบุคลากรผู้มีความรู้ความสามารถของมหาวิทยาลัยเพราะถูกกลั่นแกล้ง และทนกับพฤติกรรมการทุจริตของกลุ่มผู้บริหารมหาวิทยาลัยชุดปัจจุบันไม่ได้ จึงทยอยลาออกเป็นจำนวนมาก

โดย นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร กล่าวภายหลังรับหนังสือว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องที่สำคัญมาก ซึ่งเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงปัญหาในสังคม ตลอดจนสะท้อนถึงการปฏิรูปประเทศในระยะ 6 – 7 ปีที่ผ่านมา และมหาวิทยาลัยนี้ไม่ได้เป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกที่มาร้องเรียนถึงระบบอุปถัมภ์ในการศึกษา รวมถึงการสืบทอดอำนาจระหว่างผู้บริหารสถานศึกษารุ่นหนึ่งไปยังอีกรุ่นหนึ่งเพื่อเอื้อประโยชน์แก่พวกพ้องของตน อย่างไรก็ตาม สถานศึกษาอาจต้องปรับปรุงระบบและกลไกในการบริหารสถานศึกษาใหม่เพื่อให้ระบบอุปถัมภ์หมดสิ้นไปและเพื่อคืนความเป็นธรรมให้แก่ผู้ได้รับความเดือดร้อนจากระบบการอุปถัมภ์ดังกล่าว