โดยนายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ กล่าวว่า ประกาศฉบับนี้เคยประกาศไปแล้วเมื่อปี 2560 และมีการแก้ไขโดยจะบังคับใช้ในวันที่ 25 ธ.ค. 65 จึงมีข้อกังวลว่า การสั่งให้ลบข้อมูลภายใน 24 ชั่วโมง โดยที่ต้นสังกัดของข้อมูลนั้นไม่สามารถโต้แย้งประเด็นใด ๆ ได้นั้นเป็นการจำกัดสิทธิเสรีภาพในการพูดคุยในพื้นที่สำหรับประชาชนที่ใช้ในการค้นหาความจริง การช่วยเหลือคลี่คลายประเด็นต่าง ๆ ในสังคม โต้แย้งข้อเรียกร้องต่าง ๆ ที่มีผลกับรัฐบาลหรือหน่วยงานของรัฐ และเป็นข้อมูลที่ทำให้พี่น้องประชาชนคลี่คลายความสงสัยได้ แต่เมื่อประกาศฉบับนี้ออกมาทำให้เกิดข้อกังวลสงสัยในหลาย ๆ หน่วยงานที่ปฏิบัติหน้าที่ในการตรวจสอบ ถ่วงดุลอำนาจของรัฐบาลว่า หากหน่วยงานรัฐมีอำนาจในกฎกระทรวงฉบับนี้แล้ว จะสามารถสั่งการให้ลบข้อมูลใด ๆ ก็ได้ภายใน 24 ชั่วโมง โดยไม่ต้องสอบถามผู้ที่เสนอข้อมูลนั้นว่าข้อมูลจริงเท็จประการใด ซึ่งตนในฐานะประธานคณะ กมธ. จึงไม่สามารถนิ่งนอนใจต่อประเด็นนี้ได้
ด้านนายณัฐพงศ์ เรืองปัญญาวุฒิ กล่าวเพิ่มเติมว่า ที่ผ่านมาจะเห็นว่าการทำหน้าที่ของ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมส่วนใหญ่จะใช้อำนาจรัฐเพื่อควบคุมเนื้อหาของประชาชน ประกาศฉบับนี้เป็นสิ่งที่ยืนยันได้ เมื่อเปรียบเทียบเนื้อหาของประกาศเมื่อปี 2560 มาถึงปี 2565 มีประเด็นที่ชี้ให้เห็นว่าเป็นการควบคุมเนื้อหาบนสื่อสังคมออนไลน์มากขึ้น ดังนี้
    1. จากเดิมประกาศในปี 2560 ไม่ได้ให้อำนาจรัฐและเจ้าหน้าที่รัฐในกระทรวงดิจิทัลฯ เพิกถอนเนื้อหาบนสื่อสังคมออนไลน์ได้ แต่ประกาศปี 2565 ได้ให้อำนาจกับเจ้าหน้าที่รัฐ สามารถกระทำได้
    2.ประกาศปี 2560 การลบเนื้อหาข้อมูลเท็จ ให้เวลา 7 วัน ข้อมูลเกี่ยวกับความมั่นคง ให้เวลา 24 ชั่วโมง ข้อมูลเกี่ยวกับความมั่นคง ให้เวลา 24 ชั่วโมง ข้อมูลสื่อลามกอนาจาร ให้เวลา 3 วัน แต่ประกาศปี 2565 ให้เวลาเพียง 24 ชั่วโมงเท่านั้น
    3.ไม่เปิดช่องให้เจ้าของข้อมูลโต้แย้งใด ๆ ได้ โดยหากเป็นผู้ที่มีความเห็นต่างทางการเมือง หรือไม่เห็นด้วยกับรัฐบาล ต้องการวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาลอย่างตรงไปตรงมา รัฐบาลสามารถใช้อำนาจตามประกาศดังกล่าวปิดปากประชาชนได้
4. เนื้อหาในข้อ 9 ของประกาศฉบับนี้ที่ระบุว่า หากเจ้าของแพลตฟอร์มออนไลน์ต่าง ๆ ไม่ยอมปฏิบัติตามคำสั่งของเจ้าหน้าที่ที่นำลงเนื้อหา ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าแพลตฟอร์มต่าง ๆ เหล่านั้นเป็นผู้กระทำความผิดด้วย ตามมาตรา 15 แห่ง พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ซึ่งมีความสุ่มเสี่ยงเป็นอย่างยิ่งว่าจะขัดต่อมาตรา 29 ของรัฐธรรมนูญ ที่ได้รับรองสิทธิของประชาชนเป็นหลักการสันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้กระทำความผิดยังเป็นผู้บริสุทธิ์

ดังนั้น นายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ ในฐานะประธานคณะ กมธ.การพัฒนาการเมือง การสื่อสารมวลชน และการมีส่วนร่วมของประชาชน จะได้เชิญ รมว.ดิจิทัลฯ เจ้าหน้าที่กระทรวง และผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่าย มาสอบถาม รวมถึงเชิญตัวแทนสื่อมวลชน ภาคประชาสังคม และผู้ที่ได้รับผลกระทบ มาให้ความเห็นต่อเนื้อหาของประกาศฉบับนี้ และในฐานะผู้แทนราษฎรเห็นว่าหากภาคประชาชนโดยส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยกับประกาศฉบับนี้ก็จะดำเนินการเพื่อให้มีการเพิกถอนการบังคับใช้ประกาศฉบับนี้ต่อไป